ควบคู่ไปกับการลงทุน หรือร่วมลงทุนในธุรกิจหรือทรัพย์สินที่มีศักยภาพการเติบโตสูง โดยมีเป้าหมายคือการเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์โครงการที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ ด้วยความประณีต เพื่อสร้างไลฟ์สไตล์ใหม่ที่ครบถ้วนทั้งการพักอาศัย พักผ่อน ทำงาน และชอปปิง รวมถึงสร้างการเติบโต และส่งมอบคุณค่าที่ยั่งยืนให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม
สิงห์ เอสเตท ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่
โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อประกอบ ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทบ้านจัดสรรและอาคารชุด พักอาศัย ต่อมาบริษัทฯ ได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท รสา พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (“รสาฯ”) และเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2550 โดยใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “RASA”
เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2557 บริษัทฯ ได้รวมธุรกิจโดยการรับโอนกิจการทั้งหมด (Entire Business Transfer) จากบริษัทในกลุ่มบริษัท สิงห์ พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ จำกัด และกลุ่มนายสันติ ภิรมย์ภักดี รวมถึงได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นโดยบริษัท สิงห์ พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ จำกัด (บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 99.99) และนายสันติ ภิรมย์ภักดี เข้าเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่
และในวันเดียวกันนี้ บริษัทฯ ได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) และ เปลี่ยนชื่อย่อหลักทรัพย์ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จาก “RASA” เป็น “S”
ธุรกิจของเรา
ธุรกิจที่พักอาศัย
บริษัทฯ มีนโยบายการพัฒนาธุรกิจที่อยู่อาศัย ทั้งโครงการแนวสูงและแนวราบ ในรูปแบบที่หลากหลาย อาทิเช่น บ้านเดี่ยว คลัสเตอร์โฮม โฮมออฟฟิศ และคอนโดมิเนียม เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าระดับบน ภายใต้แบรนด์ต่างๆ ที่หลากหลาย และครอบคลุมทั้งหมดของเซ็กเมนต์ Luxuryโดยมีรายละเอียดดังนี้
ธุรกิจโรงแรม
ธุรกิจโรงแรมของบริษัทฯ อยู่ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) (หรือ “SHR”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อมรวมร้อยละ 62.24
โดย SHR ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ดำเนินธุรกิจด้านการพัฒนาและบริหารโรงแรม มุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจโรงแรมระดับนานาชาติที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ตลอดจนแสวงหาโอกาสขยายธุรกิจและพันธมิตรเพื่อร่วมลงทุนในธุรกิจหรือ ทรัพย์สินที่มีศักยภาพการเติบโตสูง โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างมาตรฐานที่ดีเลิศให้กับการพักผ่อนและการใช้ชีวิตที่มีคุณภาพ ส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีที่สุดในการท่องเที่ยวและการพักผ่อนที่สร้างคุณค่าและเติมเต็ม ประสบการณ์เดินทาง (Enriching Journey) ในโรงแรมและรีสอร์ตระดับบน ด้วยราคาที่เข้าถึงได้ (Affordable Luxury) SHR มุ่งมั่นการให้บริการที่เป็นเลิศในทุกด้าน โดยเฉพาะมาตรฐานด้านความปลอดภัยและชีวอนามัยสูงสุด พร้อมทั้งตระหนักถึงการพัฒนาและการบริหารธุรกิจอย่างเป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อมและชุมชนท้องถิ่น
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์
อสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าอันได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ประเภทอาคาร สำนักงาน และพื้นที่ค้าปลีกให้เช่า เป็นอีกเสาหลักธุรกิจหนึ่งของบริษัทฯ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง สร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง และให้ผลตอบแทนต่อการลงทุนในเกณฑ์ดี บริษัทฯ วางนโยบายในการขยาย ธุรกิจนี้โดยการพัฒนาโครงการเองและการลงทุนผ่านการเข้าซื้อกิจการ โดยรายได้หลักจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า ประกอบด้วย รายได้ ค่าเช่าพื้นที่ รายได้จากการให้บริการระบบสาธารณูปโภค และระบบรักษาความปลอดภัย และรายได้จากการให้บริการเสริมอื่น รวมถึงรายได้จากการบริหารอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าในกรณีที่มีการโอนสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เข้ากองทรัสต์ที่บริษัทฯ จัดตั้งขึ้นการพัฒนาและการลงทุนจะพิจารณาจากความเหมาะสมของทำเลที่ตั้ง ข้อจำกัดในการพัฒนาหรือขยายโครงการอุปสงค์ และอุปทานของในบริเวณนั้น ๆ ผลตอบแทนจากการลงทุน และศักยภาพในการเติบโตเป็นสำคัญ
ปัจจุบัน บริษัทฯ มีอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าจำนวน 5 โครงการ ได้แก่
- เดอะ ไลท์เฮ้าส์ ซึ่งเป็นอาคารพื้นที่ค้าปลีกขนาดเล็ก
- อาคารสำนักงานซันทาวเวอร์ส ซึ่งบริษัทฯ เข้าลงทุนผ่านการรับโอนกิจการทั้งหมดเมื่อเดือนสิงหาคม 2558
- โครงการ สิงห์ คอมเพล็กซ์ อาคารสำนักงานเกรดเอและพื้นที่ค้าปลีกที่บริษัทฯ พัฒนาเองและเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบ เมื่อเดือนตุลาคม 2561
- อาคารสำนักงาน เอส เมโทร ซึ่งบริษัทฯ ได้มาซึ่งทรัพย์สินในเดือนมกราคม 2563
- โครงการเอส โอเอซิส อาคารสำนักงานเกรดเอและพื้นที่ค้าปลีกแห่งใหม่ล่าสุดของบริษัทฯ ถูกพัฒนาขึ้นจากแนวคิดอาคารอัจฉริยะ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม และโครงสร้างพื้นฐาน
สืบเนื่องจากแผนธุรกิจของบริษัทฯ ที่มีแผนขยายการลงทุนไปยังธุรกิจใหม่ เพื่อเพิ่มแหล่งรายได้ บริษัทฯ จึงได้เล็งเห็นโอกาสในการลงทุนธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐานภายใต้การดำเนินงานของ S.IF. ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 99.99 โดย ในปี 2564 S.IF. ได้ลงทุนในธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม โดยการเข้าซื้อหุ้น สามัญใน SIE ซึ่งเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรม และลงทุนในธุรกิจพลังงานไฟฟ้า โดยการเข้าลงทุนในหุ้นของ BPAT1 BPAT2 และ BPAT3 ซึ่งเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจการพัฒนาโรงไฟฟ้า รวมถึงการผลิต และจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนร่วมและไอน้ำ
โครงการนิคมอุตสาหกรรมเอส อ่างทอง มีพื้นที่โครงการประมาณ 1,790 ไร่ พร้อมการพัฒนาโครงสร้างระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่เพียงพอและมีสเถียรภาพ ได้แก่ โรงไฟฟ้าประเภทพลังงานความร้อนร่วม (Co-Generation) ภายใต้การดำเนินงานของ BPAT1 - 3 โดยโรงงานไฟฟ้าทั้งสามแห่งจะผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของผู้ใช้พื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมเอส อ่างทอง พร้อมกันนี้ กลุ่มบริษัท S.IF. จะได้พัฒนาระบบสาธารณูปโภคที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของผู้ใช้พื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมเอส อ่างทอง เพื่อเป็นการสร้างรายได้หมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง จึงเห็นได้ว่า การลงทุนในธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน ถือเป็นการกระจายความเสี่ยงของธุรกิจของบริษัทฯ สร้างความแข็งแกร่งให้กับแหล่งที่มาของรายได้ของบริษัทฯ จากการกระจายสู่ฐานลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมที่จะรับรู้รายได้ที่สมํ่าเสมอ รวมถึงเป็นการขยายศักยภาพของบริษัทฯ โดยอาศัยความเชี่ยวชาญในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้ครบวงจรมากขึ้น
รายได้รวม
สินทรัพย์รวม
โครงสร้างธุรกิจ
การปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจ และการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัทฯ แบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
แผนธุรกิจ
บริษัทฯ ยังคงดำเนินการตามทิศทาง และกลยุทธ์ระดับองค์กรที่มุ่งเน้นสู่การเป็น Entrusted and Value Enriched ไปพร้อม ๆ กับการปรับกลยุทธ์ระดับธุรกิจและหน่วยงาน ให้สอดคล้องและทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันให้มากยิ่งขึ้น
พัฒนาการที่สำคัญ
ภายใต้ชื่อ “บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน)”
- เดือนพฤษภาคม 2567: เปิดตัวอย่างเป็นทางการของโครงการบ้านเดี่ยวในระดับลักชัวรี่ 2 แห่ง ภายใต้แบรนด์ SHAWN ได้แก่ โครงการ ฌอน ปัญญาอินทรา และฌอน วงแหวน - จตุโชติ
- ได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรโดยทริสเรทติ้ง (TRIS) ที่ระดับ BBB+
- เปิดตัวแบรนด์ใหม่ และโครงการบ้านแนวราบ ได้แก่ LA SOIE De S, SMYTH’s, S’RIN และ SHAWN ส่งผลให้สิงห์ เอสเตทมีแบรนด์ที่ครอบคลุมครบทุกเซกเมนท์ลักชัวรี
- เปิดตัว (Soft Opening) โรงแรม SO/ Maldives ลักชัวรีรีสอร์ตแห่งที่ 3 ของโครงการ CROSSROADS มัลดีฟส์
- เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) โครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม ทั้ง 3 แห่ง ในโครงการนิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง กำลังการผลิตรวม 400 เมกะวัตต์
- ดำเนินการขายสินทรัพย์ในประเทศสหราชอาณาจักรที่บริษัทฯ พิจารณาว่ามีศักยภาพในการทำกำไรจำกัด เพื่อเป็นไปตามกลยุทธ์ในการหมุนเวียนลงทุนและการปรับปรุงประสิทธิภาพของพอร์ตโฟลิโอ โดยเงินที่ได้จากการขายสินทรัพย์แห่งนี้จะถูกนำไปลงทุนใหม่เพื่อยกระดับสินทรัพย์อื่น ๆ ในพอร์ตโฟลิโอที่มีศักยภาพการแข่งขันสูง
- เปิดตัวโครงการ SIRANNINN THE RESIDENCES.
- เปิดตัว (Soft Opening) โครงการ เอส โอเอซิส อาคารสำนักงานแห่งใหม่ล่าสุดของ สิงห์ เอสเตท ที่มีนวัตกรรมและความยั่งยืน ด้วยใบรับรอง LEED Gold V4 certification
- ซอฟท์โอเพ่นนิ่งโครงการ เอส โอเอซิส อาคารมิกซ์ยูสที่มีพื้นที่ให้เช่า 53,472 ตารางเมตร
- เพิ่มสัดส่วนการลงทุนเป็นร้อยละ 100 ใน 26 โรงแรมในสหราชอาณาจักร ภายใต้แบรนด์ Mecure
- ยกเลิกสัญญาบริหารโรงแรมโดยกลุ่ม Outrigger และเข้าบริหารจัดการโรงแรม 2 แห่งในประเทศไทยและ 1 แห่งสาธารณรัฐมัลดีฟส์เอง
- ลงนามในสัญญาบริหารจัดการโรงแรมกับ SO/ Hotels Resorts เพื่อพัฒนาและบริหาร luxury รีสอร์ท อันดับที่ 3 บนโครงการ CROSSROADS Maldives
- ขยายการลงทุนในธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน
- เปิดตัวโครงการ The EXTRO คอนโดมิเนียมระดับ premium luxury segment
- คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติให้บริษัทฯ ลงนามในบันทึกความเข้าใจ กับกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ NVD ส่งผลให้บริษัทฯสามารถพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบภายใต้ การบริหารจัดการของบริษัทฯเอง
- ลงทุนในสิทธิการเช่าระยะยาว 30 ปี ในพื้นที่ อาคารสำนักงานของอาคารซันทาวเวอร์ส SPRIME
- บริษัทฯได้รับเลือกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้เข้าสู่ การเป็นหุ้นยั่งยืน หรือThailand Sustainability Investment “THSI“
- Spin off บริษัทฯ โอนธุรกิจโรงแรมทั้งหมดให้กับ บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด – “SHR”
- เปิดตัวโครงการ CROSSROADS, the first integrated tourist facilities project on Emboodhoo Lagoon in the Republic of Maldives.
- เปิดตัวโครงการ SANTIBURI THE RESIDENCES
- Started development of S OASIS
- เปิดตัวอย่างเป็นทางการ (Grand Opening) โครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์
- เข้าลงทุนในโรงแรมและรีสอร์ท จำนวน 6 แห่ง จากกลุ่ม Outrigger
- เปิดตัวโครงการ ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์
- เปิดตัวโครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 36 ร่วมลงทุนกับ Hongkong Land
- ออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 738,382,027 หุ้น ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม ตามสัดส่วนการถือหุ้น ราคาเสนอขาย 5.00 บาทต่อหุ้นสามัญเพิ่มทุน
- ลงทุนในกิจการโรงแรม 3 แห่ง ในสหราชอาณาจักร ผ่าน บริษัทร่วมทุน (บริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 50)
- เข้าลงทุน ในสัดส่วนการถือหุ้น ร้อยละ 51% “เนอวานาฯ”
- เปิดตัวโครงการ ดิเอส อโศก
- ลงทุนในอาคารสำนักงาน “ซันทาวเวอร์ส”
- ลงทุนใน กิจการโรงแรม 26 แห่ง ภายใต้แบรนด์ “Mercure” ในสหราชอาณาจักร ผ่านบริษัทร่วมทุน (บริษัทฯ ถือหุ้นใน สัดส่วนร้อยละ 50)
- ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติรายการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ เป็น 4,712,350,732 หุ้น เพิ่มทุนจดทะเบียน เปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้น และ เปลี่ยนแปลงชื่อบริษัทจากเดิม “บริษัท รสา พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)” เป็น “บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน)”
- บริษัทฯดำเนินการเข้าซื้อ โรงแรมพีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ บีช รีสอร์ท
การพัฒนาอย่างยั่งยืน
กลยุทธ์ความยั่งยืน เป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจของ สิงห์ เอสเตท โดยมุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งด้านธุรกิจ สังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม บริษัทฯ ขับเคลื่อนด้านความยั่งยืน ภายใต้วิสัยทัศน์ 'Go Beyond Dreams' และกรอบแนวทางเชิงกลยุทธ์ 'Go Exceed, Go Exist' ซึ่งครอบคลุมเสาหลักสำคัญ 3 ประการ
- Carbon neutral roadmap (Target NDC >40% )
- S.IF. renewable energy solar cell contribute target >20% of total emission
- Leader of sustainable luxury
- 21 IUCN red list species
- The largest marine conservation area in Indian Ocean (OECMs) 31.56% (3,150,000 sq.m.)
- Target forestation 1,000,000 sq.m. in 2025 at Singha Park
- Phi Phi creates share value for the executives' program
>100K people engagement
- S.IF. social enterprise carbon sink project - 4 provinces (97 Moo Ban)
- Capacity building and knowledge sharing with Maldives Ministry
- Build conservation mindset through CRM
- Green supply chain