ในปี 2566 ท่ามกลางแรงกดดันจากเศรษฐกิจในเชิงมหภาค ทั้งด้านการเงินจากระดับเงินเฟ้อที่สูงขึ้นและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก สิงห์ เอสเตท ก้าวข้ามอุปสรรคเหล่านี้ด้วยแนวทางการดำเนินงานภายใต้ความหลากหลายทางธุรกิจ และวิสัยทัศน์ที่มุ่งเน้นความยืดหยุ่นในการบริหารที่สอดรับกับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ
ทั้งยังให้ความสำคัญในการจัดการเงินทุนเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงิน รวมถึงการเข้าลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่บริษัทฯ ตลอดจนได้สร้างการรับรู้และชื่อเสียงแบรนด์ของกลุ่มบริษัทขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
สิ่งที่เป็นเครื่องยืนยันถึงการเป็นองค์กรที่ไม่หยุดนิ่งในการพัฒนา ทำให้บริษัทฯ เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสามารถบรรลุ 3 เป้าหมายสำคัญ ได้แก่
  • การบันทึกรายได้จากการดำเนินงานในระดับสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์กว่า 14,600 ล้านบาท
  • ความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นกู้ต่อนักลงทุนทั่วไปเป็นครั้งแรกของสิงห์ เอสเตท และ SHR ด้วยมูลค่ารวม 3,000 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมความยืดหยุ่นทางการเงินและสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
  • ความสำเร็จในการพัฒนาโครงการ อันประกอบด้วย ธุรกิจโรงแรม จากการเปิดให้บริการโรงแรม SO/ Maldives ที่บริหารงานภายใต้กลุ่ม Accor ส่งผลให้โครงการครอสโร้ดส์ (CROSSROADS) เป็นจุดหมายปลายทางด้านการพักผ่อนชั้นนำแบบบูรณาการในสาธารณรัฐมัลดีฟส์ที่ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าได้เพิ่มขึ้น รวมถึงความสำเร็จในการยกระดับอัตราค่าห้องพักเฉลี่ย (ADR) ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ตามแผนการปรับปรุงโรงแรมที่มีศักยภาพ อันได้แก่ โรงแรมทราย ลากูน่า ภูเก็ต โรงแรมทราย พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ และ Outrigger Fiji Beach Resort ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัย ที่สามารถเปิดตัวแบรนด์ และโครงการใหม่จำนวน 5 โครงการ มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท พร้อมกระแสตอบรับที่ดีในโครงการสริน ราชพฤกษ์ - สาย 1 ต่อเนื่องจากการเปิดตัวโครงการศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส พัฒนาการ ในปลายปี 2565 ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าภูมิใจสำหรับการบุกตลาด Luxury ในโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัยในแนวราบของบริษัทฯ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า การพัฒนาและสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจ Flex Space เพื่อสร้างความยืดหยุ่นให้ธุรกิจ ตอบสนองความต้องการของตลาดยุคใหม่ และเพื่อเพิ่มโอกาสในการเพิ่มอัตราค่าเช่าพื้นที่ท่ามกลางภาวการณ์แข่งขันราคาที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาระบบสาธารณูปโภคในโครงการแล้วเสร็จ และการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์โรงไฟฟ้าครบทั้ง 3 แห่ง ส่งผลให้โครงการมีกำลังการผลิตรวมกว่า 400 เมกะวัตต์ ทำให้บริษัทฯ มีส่วนแบ่งรายได้ที่มั่นคงจากการขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ราวร้อยละ 70 ของกำลังการผลิตรวม และเสถียรภาพทางพลังงานนี้จะเป็นปัจจัยสนับสนุนหลักต่อความคืบหน้าในการขายและโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในอนาคต

นอกจากนี้ บริษัทฯ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะแจ้งให้ผู้ถือหุ้นทราบว่า บริษัทฯ ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีรายชื่ออยู่ในกลุ่มหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2566 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 รวมถึงได้รับการประเมินการกำกับดูแลกิจการในระดับ 5 ดาว หรือ ‘ดีเลิศ’ (Excellent CG Scoring) และได้รับรางวัล Thailand’s Most Admired Company ในสาขาความรับผิดชอบต่อสังคม สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มบริษัทมุ่งพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน สร้างมูลค่าแก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ควบคู่ไปกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม

การเดินหน้าเพื่อยกระดับการดำเนินงาน พร้อมมุ่งหาโอกาสใหม่ ๆ เพื่อเร่งการเติบโตของพอร์ตโฟลิโอและเพิ่มความสามารถในการทำกำไร ควบคู่ไปกับการรักษาวินัยทางการเงิน โดยในปี 2567 เราตั้งเป้ารายได้รวมของบริษัทฯ ให้เติบโตขึ้นสูงถึงร้อยละ 20 โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนจากการเติบโตต่อเนื่องของตลาดที่เราดำเนินธุรกิจอยู่ และการแสวงหาโอกาสจากลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ เสริมด้วยการการบูรณาการระหว่าง 4 กลุ่มธุรกิจ (Synergy) เพื่อดึงเอาจุดแข็งและความชำนาญที่แตกต่างและโดดเด่นของแต่ละธุรกิจให้เกื้อหนุนและเสริมความแข็งแกร่งแก่กัน ตลอดจนการเปิดโอกาสสำหรับการผนึกกำลังกับพันธมิตรใหม่ ๆ เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจและการลงทุน

สำหรับเป้าหมายการเติบโต และกลยุทธ์ต่าง ๆ ของบริษัทฯ สามารถจำแนกได้ตามประเภทธุรกิจดังนี้

ธุรกิจโรงแรม – เรามุ่งมั่นเสริมกลยุทธ์ธุรกิจที่ครอบคลุมในหลายมิติเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของเราให้เติบโตต่อเนื่อง ประกอบด้วย (1) การเพิ่มรายได้จากการแสวงหาตลาดกลุ่มใหม่ และการใช้ประโยชน์จากช่องทางการขายผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์ม ตลอดจนการเพิ่มรายได้อื่นที่ไม่ใช่ห้องพัก โดยการนำเสนอประสบการณ์ด้านอาหารและเครื่องดื่มที่มีเอกลักษณ์ตามแบบฉบับของแบรนด์ พร้อมแผนเปิดตัวบีชคลับในทุกรีสอร์ตในเครือแบรนด์ “ทราย” ของกลุ่มบริษัท (2) การยกระดับพอร์ตโฟลิโอและหมุนเวียนสินทรัพย์ (Portfolio Enhancement and Rotation) อย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างคุณภาพที่ดีของสินทรัพย์โรงแรมของกลุ่มบริษัท โดยเฉพาะการลงทุนเพิ่มเติมในโรงแรมที่มีศักยภาพสูง (3) การปรับปรุงแบรนด์คอนเซปต์เพื่อส่งมอบประสบการณ์ท่องเที่ยวที่เป็นเลิศและสอดรับกับกระแสนิยมใหม่ ๆ รวมถึงการยกระดับแบรนด์ “ทราย” ให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล และการสร้างการจดจำแบรนด์ในฐานะจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวแบบ Sustainably Luxury พร้อมนำความแข็งแกร่งของแบรนด์มาต่อยอดภายใต้โมเดลธุรกิจแบบ Asset Light หรือการร่วมทุน และ (4) การพิจารณาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในตลาดหลายแห่งทั่วโลก โดยเฉพาะภูมิภาคยุโรปแถบเมดิเตอร์เรเนียน และเอเชียแปซิฟิก เพื่อสร้างความหลากหลายให้แก่พอร์ตโฟลิโอของกลุ่มบริษัท และสร้างความเติบโตที่ยั่งยืนในด้านรายได้และกำไร รวมถึงลดความผันผวนทางฤดูกาลของโรงแรมในเครือ

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัย – ช่วงเวลา 3 ปีที่ผ่านมา สิงห์ เอสเตท เริ่มเข้าลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัยในแนวราบ ซึ่งบริษัทฯ ได้ขยายขอบเขตการพัฒนาและดีไซน์แบรนด์ใหม่ ๆ ออกมา เพื่อให้ครอบคลุม Segment ที่หลากหลายขึ้น ตั้งแต่โครงการในระดับ Ultra Luxury จนมาถึงระดับ Premium โดยเราได้เก็บเกี่ยวความได้เปรียบทางการแข่งขันจากการเรียนรู้ระหว่างพัฒนา Flagship Properties อย่างโครงการ สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส แล้วนำความเป็น Ultra Luxury Living ถ่ายทอดลงมาในแบรนด์ลำดับถัดกันมาของเรา ปรัชญาที่เราดำรงไว้ในทุก ๆ แบรนด์คือการ ส่งมอบคุณภาพเดียวกันที่เพียงพอต่อบริบทและสอดรับกับความต้องการของลูกค้าใน Segment นั้นๆ บนหลักการพัฒนาโครงการแบบ “Best-in-Class” เพื่อตอกย้ำความเป็น Mastery ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัยที่เข้าใจลูกค้ากลุ่ม Luxury โดยแท้จริง

จากจุดเริ่มต้นของความสำเร็จของสิงห์ เอสเตท ที่เราใช้เวลาสั่งสมประสบการณ์ในการออกแบบพัฒนาแบรนด์ เพื่อสร้างการยอมรับและเชื่อถือจากผู้บริโภค รวมถึงการขยายแบรนด์พอร์ตโฟลิโอให้ครอบคลุมทุก Segment ในกลุ่ม Luxury และก้าวเข้าสู่ตลาดที่มีฐานลูกค้าใหญ่ขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมานี้ เรามั่นใจว่าในอนาคตจะเป็นช่วงเวลาแห่งการเก็บเกี่ยวด้วยความโดดเด่นของ แบรนด์ที่แข็งแกร่งขึ้นในหลายมิติ หนุนด้วยสินค้าพร้อมขายมูลค่ากว่า 13,000 ล้านบาท และโครงการที่จะทยอยเปิดตัวในปี 2567 อีกราว 9,500 ล้านบาท ซึ่งล้วนแล้วแต่อยู่ในทำเลศักยภาพที่เป็นที่ต้องการของผู้มีกำลังซื้อสูงทั้งสิ้น

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า – บริษัทฯ มีแนวทางในการบริหารอาคารสำนักงานทุกแห่งเพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการใช้พื้นที่อาคารสำนักงานที่เปลี่ยนแปลงไป และขับเคลื่อนผลการดำเนินงานที่มั่นคง ด้วยความสามารถในการรักษาอัตราการปล่อยเช่าพื้นที่ (Occupancy Rate) ได้ในอัตราร้อยละ 85 ทั้งนี้ บริษัทฯ ประเมินความท้าทายของตลาดอาคารสำนักงานจากอุปทานที่เพิ่มขึ้นในอนาคต ดังนั้น บริษัทฯ ต้องติดตามสภาวะตลาด และปรับตัวเชิงรุกอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ การปรับแผนการตลาดในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งในด้านหมวดอุตสาหกรรมและขนาดธุรกิจ ตลอดจนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความความโดดเด่นด้านความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ใช้อาคาร ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณาของผู้เช่า

ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน – การเข้าลงทุนในธุรกิจนี้จะช่วยเพิ่มการกระจายตัวทางธุรกิจ และสร้างสมดุลจากการพึ่งพิงรายได้ระหว่างกลุ่มลูกค้า Consumer Base และ Industrial Base ซึ่งจะทำให้ธุรกิจของบริษัทฯ มีความมั่นคงต่อภาวการณ์ต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น โดยภายหลังการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานแล้วเสร็จในปี 2566 เรามีความพร้อมที่จะส่งมอบพลังงานไฟฟ้า ไอน้ำ และน้ำที่มีเสถียรภาพสูง พร้อมระบบบริหารจัดการของเสียที่ได้มาตรฐาน ซึ่งจะเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญในการพิจารณาลงทุนของลูกค้า และจะทำให้กิจกรรมการขายและโอนกรรมสิทธิ์บรรลุเป้าหมายที่บริษัทฯ วางไว้ได้

จากการกระจายธุรกิจที่หลากหลายของกลุ่มบริษัท ส่งผลให้เรามีความคล่องตัวและความแข็งแกร่งท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างความมั่นคงให้กับฐานะทางการเงินของบริษัทฯ เพื่อให้แน่ใจว่าเราพร้อมคว้าโอกาสและความท้าทายใหม่ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผมหวังว่า ปี 2567 จะเป็นปีที่น่าตื่นเต้นอีกหนึ่งปี ที่เราจะสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งให้กับบริษัทฯ และได้พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อส่งมอบ ประสบการณ์ที่แตกต่างและดีที่สุดให้กับลูกค้าของสิงห์ เอสเตท

ความสำเร็จที่ผ่านมา รวมถึงก้าวต่อไปในอนาคตของสิงห์ เอสเตท ผมและคุณฐิติมา ขอชื่นชมคณะกรรมการบริษัท คณะผู้บริหารและพนักงานทุกคนที่ได้ทุ่มเทความสามารถและความเชี่ยวชาญอย่างเต็มที่ ในการผลักดันผลการดำเนินงานเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดี และคุณค่าที่ยั่งยืนให้กับทุกภาคส่วน และขอขอบพระคุณท่านผู้ถือหุ้น ผู้ร่วมทุน คู่ค้า ลูกค้า สถาบันการเงิน สื่อมวลชน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ที่มอบความไว้วางใจและให้การสนับสนุนบริษัทฯ มาโดยตลอด และหวังว่าจะยังได้รับการสนับสนุนจากทุกท่านอย่างดีในปีต่อ ๆ ไป เพื่อก้าวไปสู่การเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทยที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับสร้างสังคมที่มีคุณภาพให้กับทุกคน

นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา
(ประธานกรรมการ)

นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์
(ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร)