'สิงห์ เอสเตท' เตรียมพร้อมรับการฟื้นตัวธุรกิจครึ่งปีหลัง ด้วยสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง เผยรายได้ไตรมาส 2 ปีนี้ลดลงจากวิกฤติโควิด
กรุงเทพฯ 17 สิงหาคม 2563 – สิงห์ เอสเตท ประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2563 มีรายได้รวม 927 ล้านบาท ลดลง 61% สาเหตุจากการปิดโรงแรมในช่วงวิกฤตโควิด-19 การผ่อนปรนการโอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกค้าบางกลุ่ม และการให้ส่วนลดแก่ผู้เช่าพื้นที่ค้าปลีกและสำนักงาน โดยมีกำไรขั้นต้นลดลง เนื่องจากรายได้ที่ลดลง ทั้งนี้บริษัทไม่มีนโยบายลดพนักงาน เพื่อเตรียมพร้อมรับการฟื้นตัวของธุรกิจอย่างรวดเร็วในครึ่งปีหลัง มั่นใจสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง พร้อมเดินตามแผนลงทุนเดิมและมองหาโอกาสการลงทุนใหม่ในอนาคต
บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2563 มีรายได้ทั้งหมด 927 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจที่พักอาศัย (Residential development) 621 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 51%, ธุรกิจอาคารสำนักงาน (Commercial) มีรายได้ 220 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21%, และธุรกิจโรงแรม (Hospitality) มีรายได้ 4 ล้านบาท ลดลง 100% ทำให้ภาพรวมของบริษัทมีขาดทุนสุทธิ 946 ล้านบาท โดยสาเหตุสำคัญมาจากการมาตรการ Lock down ของรัฐบาล, การปิดให้บริการโรงแรมทั่วโลกในช่วงวิกฤติโควิด-19 การผ่อนปรนให้ลูกค้าบางกลุ่มเลื่อนการโอนกรรมสิทธิ์ การให้ส่วนลดแก่ผู้เช่าพื้นที่ค้าปลีกและสำนักงานที่ได้ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส และถึงแม้จะระมัดระวังเรื่องการใช้จ่าย ก็ยังมีค่าใช้จ่ายคงที่บางรายการไม่สามารถตัดลดได้ รวมถึงต้นทุนการเงินที่เพิ่มขึ้นจากการหยุดบันทึกต้นทุนการเงินโครงการ Crossroads ประเทศมัลดีฟส์ เป็นสินทรัพย์ หลังจากเปิดดำเนินการเมื่อเดือนกันยายน ปีที่แล้ว
นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘S’ เปิดเผยว่า วิกฤติโควิด-19 และมาตรการ Lockdown ยังคงส่งผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัท ในส่วนของธุรกิจที่พักอาศัย การขายบ้านและคอนโดมิเนียมลดลง 51% บริษัทมีการผ่อนปรนให้ลูกค้าชาวต่างชาติสามารถเลื่อนการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดออกไปเป็นภายในปีนี้ โดยสามารถเดินทางมาตรวจรับด้วยตนเอง แต่งตั้งตัวแทน หรือใช้เทคโนโลยี 360 องศา นอกจากนี้ ระดับสินค้าคงเหลืออยู่ในระดับที่เหมาะสมและบริหารจัดการได้ จึงไม่มีความจำเป็นต้องลดราคาเพื่อเร่งระบายสินค้าแต่อย่างใด
ด้านธุรกิจอาคารสำนักงาน บริษัทยังสามารถรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจนี้ในระดับที่น่าพอใจ เนื่องจากการปรับลดงบประมาณค่าโฆษณาและกิจกรรมทางการตลาด เพื่อไปเป็นส่วนลดให้กับผู้เช่าพื้นที่ค้าปลีกและสำนักงานที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิดนี้
ในส่วนของธุรกิจโรงแรม ซึ่งเป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรงอย่างมากจากการแพร่ระบาดของไวรัส บริษัทเอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘SHR’ บริษัทในเครือของสิงห์ เอสเตท ประกาศหยุดให้บริการเชิงพาณิชย์โรงแรม 39 แห่งทั่วโลกเป็นการชั่วคราว ตามแนวนโยบายของแต่ละประเทศ เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2563 และไม่มีนโยบายเลิกจ้างพนักงานแต่อย่างใด
"บริษัทได้เผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญ จากวิกฤตโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบกับทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นระบบเศรษฐกิจ ตลาดอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจท่องเที่ยว ในช่วงเวลาที่ยากลำบากนั้น บริษัทได้ปรับเปลี่ยนการทำงานและกลยุทธ์ให้พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น อีกทั้งดูแลและบริหารการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อพร้อมรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและโอกาสทางธุรกิจ รวมถึงการลงทุนใหม่ๆ ที่น่าสนใจในอนาคต" นางฐิติมา กล่าว
ทั้งนี้ สิงห์ เอสเตท หวังว่าวิกฤตโควิด-19 จะผ่านพ้นไปในไม่ช้า บริษัทพร้อมที่จะเดินหน้าตามแผนลงทุนเดิม 5 ปี มุ่งขยายธุรกิจสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน โดยจะพิจารณาลงทุนตามความเหมาะสมและมีเกณฑ์ที่เข้มงวดในการตัดสินใจลงทุน เพื่อให้ได้สินทรัพย์ที่มีคุณภาพและโอกาสเพิ่มมูลค่าในอนาคต ปัจจุบัน บริษัทมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและไม่มีปัญหาสภาพคล่อง โดยอัตราหนี้สินที่มีดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนอยู่ในระดับต่ำ 0.97 เท่า
นางฐิติมา กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ปรับตัวดีขึ้นในหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย ส่งผลให้มีการผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ตลอดจนข้อจำกัดการเดินทางต่างๆ บริษัทจึงได้เตรียมกลยุทธ์และแผนการตลาด เพื่อให้แต่ละธุรกิจเดินหน้าต่อไป สำหรับธุรกิจโรงแรม SHR เริ่มทยอยเปิดให้บริการโรงแรมตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา และนำโรงแรมในประเทศไทยเข้าร่วมโครงการ "เราเที่ยวด้วยกัน" ซึ่งได้การตอบรับเป็นที่น่าพอใจ และคาดว่าจะสามารถให้บริการนักท่องเที่ยวได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
หลังจากสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย บริษัทเริ่มเห็นการปรับตัวของตลาดที่อยู่อาศัยในทิศทางที่ดีขึ้น และมั่นใจว่าจะทำการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดในโครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 36 (The ESSE Sukhumvit 36) ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับฮ่องกงแลนด์และมียอดขายสะสม 60% ได้ตามเป้าหมายในปลายไตรมาส 3 นี้ ซึ่งการรับรู้รายได้ของโครงการนี้จะทำแบบวิธิส่วนได้ส่วนเสีย (Equity Method) ส่วนแนวโน้มตลาดบ้านเดี่ยวราคาแพงเริ่มปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน ซึ่งบริษัทสามารถปิดการขายบ้านในโครงการสันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส ได้อีก 1 หลัง และจะทำการทยอยรับรู้รายได้ เมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและตามความคืบหน้าของการก่อสร้างบ้าน
ในส่วนของธุรกิจอาคารสำนักงาน บริษัทคาดว่าส่วนลดที่ให้กับผู้เช่าจะลดลงในไตรมาส 3 นี้ เนื่องจากกิจกรรมทางธุรกิจเริ่มกลับมาดำเนินการได้ตามปกติหรือใกล้ปกติแล้ว นอกจากนี้ บริษัทได้ช่วยประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการให้ผู้เช่าพื้นที่ค้าปลีก และยังคงมาตรการด้านสุขอนามัยเพื่อลดความเสื่ยงในการแพร่กระจายเชื้อโควิด และสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและผู้มาติดต่อที่อาคาร
"ด้วยสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง สิงห์ เอสเตท ยังคงเดินหน้าลงทุนตามแผนเดิม 5 ปี ที่วางไว้ และมองหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ คือ พลังงานแสงอาทิตย์ โดยโครงการแรกที่จะเริ่มในไตรมาส 4 นี้ อยู่ที่ประเทศมัลดีฟส์ ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ประจำ (recurring income) เพิ่มเติมให้กับบริษัท" นางฐิติมา กล่าวทิ้งท้าย